Autistic (คำคุณศัพท์) หมายถึงบุคคลที่มีภาวะออทิสติก (Autism Spectrum Disorder - ASD) ซึ่งเป็นภาวะทางระบบประสาทที่ส่งผลต่อพัฒนาการด้านสังคม การสื่อสาร และพฤติกรรม โดยแสดงออกแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
ออทิสติก (Autism Spectrum Disorder: ASD) เป็นภาวะที่หลากหลาย (spectrum) เกิดจากความแตกต่างทางระบบประสาท (neurodivergence) ที่ส่งผลต่อ:
อาจมีทักษะภาษาล่าช้า หรือสื่อสารด้วยวิธีที่ไม่เหมือนคนส่วนใหญ่
มีความยากในการเข้าใจอารมณ์หรือความหมายแฝง (เช่น อารมณ์ขัน)
อาจหลีกเลี่ยงการสบตา หรือแสดงท่าทางที่ไม่ตรงบริบท
มีพฤติกรรมซ้ำๆ (เช่น โยกตัว หมุนวัตถุ)
จดจ่อกับความสนใจเฉพาะอย่างมาก (เช่น ตัวเลข แผนที่)
อาจไวต่อการเปลี่ยนแปลงหรือต้องการทำตามกิจวัตร
อาจไวต่อแสง เสียง กลิ่น หรือสัมผัสมากกว่าคนทั่วไป
บางคนอาจแสวงหาประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส (เช่น ชอบสัมผัสพื้นผิวบางประเภท)
นับตั้งแต่ 1960 เป็นต้นมา พบอุบัติการของ autism มากขึ้นเรื่อย ๆ จากการศึกษาเล็กๆ ในทศวรรษ 1960-70 ซึ่งสมัยนั้นนิยามออทิสติกแคบมาก พบว่ามีเด็กประมาณ 2 ถึง 5 ใน 10,000 คนที่ถูกวินิจฉัย กระทั่งปี 2000 ตัวเลขในสหรัฐฯ เพิ่มเป็น 66 ใน 10,000 คน และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อัตราดังกล่าวยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง (รูปภาพที่ 1) แนวโน้มนี้ไม่จำกัดอยู่แค่สหรัฐฯ—ประเทศอื่นๆ เช่น ในกลุ่มนอร์ดิกและอังกฤษก็รายงานการเพิ่มขึ้นเช่นกัน
รูปภาพที่ 1 แสดงอัตราการเกิด autism spectrum disorder (ASD) ต่อเด็ก 1,000 คนจากการศึกษาทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม การติดตามแนวโน้มออทิสติกตลอดเวลานั้นยาก เพราะออทิสติกถูกวินิจฉัยผ่านการประเมินพฤติกรรม ไม่ใช่การตรวจเลือด ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์การวินิจฉัยและความตระหนักรู้ส่งผลต่ออัตราที่รายงาน ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเพิ่มขึ้น ได้แก่
การเปลี่ยนเกณฑ์การวินิจฉัย: การศึกษาชี้ว่า 56% ของการเพิ่มขึ้นในเด็กแคลิฟอร์เนียช่วงทศวรรษ 1990 เกิดจากการรวมกรณีที่อาการเบา ในเดนมาร์ก การปรับวิธีรายงานผลอธิบายการเพิ่มขึ้น 60% ช่วงปี 1980-1991
การเปลี่ยนแปลงนโยบาย: ปี 2016 พบว่าอัตราการวินิจฉัยเพิ่มขึ้นในรัฐที่บังคับใช้ประกันครอบคลุมการบำบัดพฤติกรรมสำหรับออทิสติก
ความตระหนักรู้ที่มากขึ้น: เด็กที่อาศัยใกล้ผู้ถูกวินิจฉัยออทิสติกมีแนวโน้มถูกวินิจฉัยมากขึ้น ซึ่งอาจเกิดจากผู้ปกครองสังเกตอาการได้ดีขึ้น
แม้ปัจจัยเหล่านี้จะอธิบายการเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่ แต่ข้อมูลจากเครือข่าย ADDM ของ CDC ที่ใช้วิธีการติดแบบเดิมตั้งแต่ปี 2000 ก็พบอัตราที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน ชี้ว่าอาจมีการเพิ่มขึ้นจริงนอกเหนือจากการวินิจฉัยที่ดีขึ้น
ในปัจจุบันวงการแพทย์ยังไม่สามารถอธิบายสาเหตุของออทิซึมได้อย่างสมบูรณ์ชัดเจน แต่ หลักฐานส่วนใหญ่ชี้ว่า “พันธุกรรม” เป็นปัจจัยสำคัญที่สุด งานวิจัยในคู่แฝดและครอบครัวพบว่า อัตราการเกิดออทิซึมสูงกว่าปกติมากในเด็กที่มีพี่น้องหรือฝาแฝดเป็นออทิซึม ซึ่งบ่งชี้ว่ามีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมที่แข็งแกร่ง นักวิทยาศาสตร์สามารถระบุยีนหรือความผิดปกติทางพันธุกรรมหลายร้อยตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับภาวะออทิซึมได้ แม้ว่ายีนแต่ละตัวจะส่งผลเพิ่มความเสี่ยงเพียงเล็กน้อย แต่การมีการกลายพันธุ์หรือความแปรผันทางพันธุกรรมหลายอย่างรวมกันอาจเพิ่มโอกาสเกิดภาวะนี้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ในบางกรณียังพบว่า ภาวะออทิซึมเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มอาการทางพันธุกรรมที่หายากบางชนิด เช่น กลุ่มอาการเฟรกไซล์เอ็กซ์ (Fragile X syndrome) หรือกลุ่มอาการอื่น ๆ ซึ่งยืนยันบทบาทของพันธุกรรมได้อย่างเด่นชัดยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยทางพันธุกรรมเพียงอย่างเดียวไม่สามารถอธิบายได้ทั้งหมด นักวิจัยเชื่อว่า ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมบางอย่างระหว่างการตั้งครรภ์และหลังคลอดอาจมีส่วนร่วมเพิ่มความเสี่ยง ให้เด็กเกิดภาวะออทิซึม (แม้จะไม่ใช่สาเหตุโดยตรงเพียงปัจจัยเดียวก็ตาม) ตัวอย่างเช่น
อายุของพ่อแม่ที่มากขึ้นเมื่อมีบุตร เป็นปัจจัยที่การศึกษาหลายชิ้นพบว่ามีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่สูงขึ้นของออทิซึมในบุตร (ผู้ที่เป็นพ่อแม่เมื่ออายุมาก อาจมีโอกาสถ่ายทอดการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมเล็กๆ น้อยๆ ให้ลูกมากขึ้น)
สุขภาพและภาวะของมารดาระหว่างตั้งครรภ์ ก็อาจมีผล เช่น การติดเชื้อไวรัสบางชนิดขณะตั้งครรภ์ ภาวะโรคเบาหวานหรือความดันโลหิตสูงระหว่างตั้งครรภ์ การได้รับสารเคมีหรือยาบางชนิดที่มีผลต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ ตลอดจน ภาวะแทรกซ้อนขณะคลอดหรือตอนทารกแรกเกิด (เช่น การคลอดก่อนกำหนดมากหรือทารกน้ำหนักตัวน้อยมาก) ปัจจัยเหล่านี้มีงานวิจัยระบุมาว่าสัมพันธ์กับความเสี่ยงออทิซึมที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
แม้จะพบปัจจัยเสี่ยงหลายประการดังที่กล่าวมา แต่ผู้เชี่ยวชาญก็เน้นว่าการเกิดออทิซึมมักเป็นผลจากหลายปัจจัยรวมกัน โดยไม่มีปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งที่กำหนดชี้ขาดอย่างเด็ดขาด การมีความเสี่ยงทางพันธุกรรมไม่ได้หมายความว่าบุคคลนั้นจะเป็นออทิซึมแน่นอน หากไม่ได้มีปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย ขณะเดียวกัน การได้รับปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมบางอย่างก็ไม่ได้ทำให้เกิดออทิซึมในเด็กทุกคน เพราะขึ้นอยู่กับพื้นฐานพันธุกรรมและปัจจัยประกอบอื่นๆ ของเด็กแต่ละราย ในภาพรวม นักวิทยาศาสตร์เห็นพ้องว่าภาวะออทิซึมมีที่มาจากความซับซ้อนของปัจจัยทางชีววิทยา โดยเฉพาะปัจจัยทางพันธุกรรมที่ทำให้สมองของเด็กพัฒนาแตกต่างไป และอาจได้รับอิทธิพลเสริมจากสภาพแวดล้อมช่วงก่อนและหลังคลอด ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนวัยที่เด็กจะได้รับวัคซีนเสียอีก
เนื่องจากออทิสเป็นภาวะที่ไม่ได้มียีนที่ทำให้เกิดโดยตรง และไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน และไม่ได้เป็นโรคที่ต้องการการรักษา เพียงแต่ต้องดูแลเค้าด้วยความเข้าใจ ดังนั้นการทำเด็กหลอดแก้วจึงไม่สามารถตรวจตัวอ่อนเพื่อคัดกรองภาวะนี้ได้ครับ