นพ.พัฒน์ศมา วิจินศาสตร์วิจัย
วว.สูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา. วว.เวชศาสตร์การเจริญพันธุ์, ป.ผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช
MClinEmbryol, EFOG-EBCOG, EFRM-ESHRE/EBCOG.
ภาวะท่อนำไข่บวมน้ำ (Hydrosalpinx) คือภาวะที่ท่อนำไข่ข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างเกิดการอุดตันและมีของเหลวสะสมอยู่ภายใน ท่อนำไข่เป็นส่วนเชื่อมต่อระหว่างมดลูกและรังไข่ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ โดยปกติแล้ว เมื่อไข่สุกและถูกปล่อยออกจากรังไข่ ท่อนำไข่จะทำหน้าที่จับไข่และเป็นบริเวณที่อสุจิจะเข้ามาปฏิสนธิกับไข่ หลังจากนั้น ไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว (ตัวอ่อน) จะเคลื่อนตัวผ่านท่อนำไข่ไปยังมดลูกเพื่อฝังตัวและเจริญเติบโตต่อไป
ในภาวะท่อนำไข่บวมน้ำ ท่อนำไข่ที่อุดตันจะเต็มไปด้วยของเหลว ทำให้ไข่และอสุจิไม่สามารถมาพบกันได้ หรือหากเกิดการปฏิสนธิแล้ว ตัวอ่อนก็ไม่สามารถเคลื่อนตัวไปยังมดลูกได้ คำว่า "ไฮโดร" (hydro) ในชื่อภาวะนี้หมายถึงน้ำ ซึ่งสื่อถึงของเหลวที่สะสมอยู่ในท่อนำไข่ ส่วนคำว่า "ซัลพิงซ์" (salpinx) หมายถึงท่อนำไข่ ภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับท่อนำไข่เพียงข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง และเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยของภาวะมีบุตรยากในผู้หญิง การทำความเข้าใจถึงบทบาทปกติของท่อนำไข่ในการตั้งครรภ์จะช่วยให้เห็นภาพได้ชัดเจนว่าภาวะโพรงมดลูกบวมน้ำส่งผลกระทบต่อการมีบุตรได้อย่างไร การที่ท่อนำไข่ไม่สามารถทำหน้าที่ตามปกติได้ย่อมส่งผลโดยตรงต่อโอกาสในการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติภาวะท่อนำไข่บวมน้ำ (Hydrosalpinx) เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับ ท่อนำไข่ ซึ่งเป็นท่อเล็กๆ เชื่อมระหว่าง รังไข่ และ มดลูก ที่ทำหน้าที่นำไข่จากรังไข่มาพบกับอสุจิ เมื่อเกิดภาวะนี้ ส่วนปลายของท่อนำไข่จะเกิดการตีบตันจนของเหลวที่สร้างจากท่อนำไข่ระบายออกไม่ได้ ทำให้มีการสะสมของน้ำภายในท่อจนบวมพองเหมือนถุงน้ำ การบวมพองของท่อนำไข่นี้ส่งผลให้กระบวนการปฏิสนธิและการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติยากขึ้น จึงถือเป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะมีบุตรยากโดยที่หลายคนอาจไม่รู้ตัว
ภาวะท่อนำไข่บวมน้ำสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยสาเหตุที่พบบ่อยมีดังนี้:
การติดเชื้อในท่อนำไข่ในอดีตเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะนี้ ซึ่งบางครั้งอาจเกิดจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) เช่น เชื้อหนองในหรือเชื้อหนองในเทียม (Chlamydia) การอักเสบในอุ้งเชิงกราน (Pelvic Inflammatory Disease หรือ PID) ซึ่งมักมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้รับการรักษา ก็สามารถนำไปสู่ภาวะท่อนำไข่บวมน้ำได้เช่นกัน การติดเชื้อเหล่านี้สามารถทำลายเยื่อบุภายในท่อนำไข่ ทำให้เกิดการอักเสบและอุดตันในที่สุด การตระหนักถึงความเสี่ยงของการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์และการป้องกันตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงของภาวะนี้ การรักษาการติดเชื้ออย่างทันท่วงทีก็สามารถช่วยป้องกันความเสียหายต่อท่อนำไข่ได้
การผ่าตัดบริเวณอุ้งเชิงกราน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผ่าตัดที่เกี่ยวข้องกับท่อนำไข่โดยตรง อาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นและพังผืด ซึ่งสามารถอุดตันทางเดินของท่อนำไข่ได้ ตัวอย่างของการผ่าตัดดังกล่าว ได้แก่ การผ่าตัดไส้ติ่ง การผ่าตัดเนื้องอกในมดลูก (fibroids) หรือการผ่าตัดการตั้งครรภ์นอกมดลูก แม้แต่การผ่าตัดแก้หมัน (tubal ligation reversal) ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะท่อนำไข่บวมน้ำได้เนื่องจากการเกิดรอยแผลเป็น แม้ว่าการผ่าตัดจะเป็นสาเหตุหนึ่งได้ แต่ส่วนใหญ่มักเป็นการผ่าตัดที่จำเป็นสำหรับรักษาภาวะสุขภาพอื่นๆ การทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหลังการผ่าตัดจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถปรึกษาแพทย์และวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม
ภาวะนี้เกิดขึ้นเมื่อเนื้อเยื่อคล้ายกับเยื่อบุโพรงมดลูกไปเจริญเติบโตภายนอกมดลูก ซึ่งรวมถึงบริเวณท่อนำไข่ด้วย เนื้อเยื่อที่เจริญผิดที่นี้สามารถก่อให้เกิดการอักเสบและพังผืดบริเวณท่อนำไข่ ทำให้เกิดการอุดตันได้ สำหรับผู้ป่วยที่ทราบว่าตนเองเป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ การทราบว่าภาวะนี้อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของโพรงมดลูกบวมน้ำจะช่วยให้เข้าใจถึงความเชื่อมโยงระหว่างสองภาวะนี้ได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากสาเหตุที่กล่าวมาแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจนำไปสู่ภาวะท่อนำไข่บวมน้ำได้ เช่น พังผืดรุนแรงในอุ้งเชิงกราน (scar tissue sticking organs together) เนื้องอก (tumors) แม้ว่าจะพบได้น้อย แต่ก็สามารถอุดตันทางเดินของท่อนำไข่ได้ และการติดเชื้อจากแหล่งอื่น เช่น ไส้ติ่งอักเสบ
ผู้หญิงจำนวนมากที่เป็นภาวะท่อนำไข่บวมน้ำอาจไม่มีอาการใดๆ ที่สังเกตได้ พวกเธออาจทราบว่ามีภาวะนี้ก็ต่อเมื่อประสบปัญหาในการตั้งครรภ์และเข้ารับการตรวจวินิจฉัยภาวะมีบุตรยาก การที่ไม่มีอาการชัดเจนไม่ได้หมายความว่าไม่มีภาวะนี้เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากกำลังประสบปัญหาเรื่องการมีบุตร การเข้ารับการตรวจประเมินทางการแพทย์จึงเป็นสิ่งสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงบางรายอาจมีอาการดังต่อไปนี้:
ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกปวดเป็นประจำหรือปวดเรื้อรังบริเวณอุ้งเชิงกรานหรือท้องน้อย อาการปวดนี้อาจแย่ลงในช่วงก่อน ระหว่าง หรือหลังมีประจำเดือน ลักษณะของอาการปวดอาจเป็นแบบปวดเมื่อยหรือรู้สึกไม่สบาย การสังเกตลักษณะและช่วงเวลาที่เกิดอาการปวดอาจช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้แม่นยำยิ่งขึ้น
ผู้ป่วยบางรายอาจมีตกขาวที่ผิดปกติ มีสีเปลี่ยนไป นอกจากนี้ อาจมีการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นบริเวณช่องคลอดร่วมด้วย การสังเกตลักษณะของตกขาวที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นสิ่งสำคัญและควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อประกอบการวินิจฉัย
อาการอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้แต่พบน้อยกว่า ได้แก่ อาการปวดในช่วงไข่ตกและมีประจำเดือน ท้องอืด ปวดหลังส่วนล่าง มีไข้ (หากมีการติดเชื้อ) คลื่นไส้ เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ (dyspareunia) หรือการตั้งครรภ์นอกมดลูกอาจเป็นสัญญาณแรกของปัญหาเกี่ยวกับท่อนำไข่ แม้ว่าอาการเหล่านี้จะพบน้อยกว่า แต่หากมีอาการเหล่านี้ร่วมกับภาวะมีบุตรยาก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม
แพทย์สามารถวินิจฉัยภาวะท่อนำไข่บวมน้ำได้ด้วยวิธีการต่างๆ ดังนี้:
แพทย์อาจสามารถตรวจพบภาวะท่อนำไข่บวมน้ำได้จากการตรวจอัลตราซาวด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากท่อนำไข่มีขนาดใหญ่ขึ้นเนื่องจากมีของเหลวสะสมอยู่ หากท่อนำไข่มีลักษณะบวมโตในการตรวจอัลตราซาวด์ มักบ่งชี้ว่าภาวะท่อนำไข่บวมน้ำนั้นมีความรุนแรงมากขึ้น การตรวจอัลตราซาวด์ผ่านทางช่องคลอด (transvaginal ultrasound) มักถูกนำมาใช้ในการตรวจภาวะนี้ ภาวะท่อนำไข่บวมน้ำในการตรวจอัลตราซาวด์อาจมีลักษณะคล้ายไส้กรอกและมีรอยหยักตามผนังท่อ นอกจากนี้ การตรวจอัลตราซาวด์ร่วมกับการฉีดน้ำเกลือเข้าไปในมดลูก (sonohysterosalpingography) ก็สามารถช่วยในการตรวจหาการอุดตันได้ การทราบว่าการตรวจอัลตราซาวด์เป็นการตรวจที่ไม่รุกรานร่างกายจะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายใจมากขึ้น และการเข้าใจลักษณะที่แพทย์จะมองเห็นภาวะนี้ในการตรวจอัลตราซาวด์ก็เป็นประโยชน์
เป็นการผ่าตัดแบบรุกล้ำน้อย โดยแพทย์จะทำการเปิดแผลเล็กๆ บริเวณหน้าท้อง และสอดกล้องโทรทรรศน์ขนาดเล็ก (laparoscope) เข้าไปเพื่อดูมดลูกและท่อนำไข่โดยตรง ในระหว่างการผ่าตัด แพทย์สามารถตรวจสอบได้ว่าท่อนำไข่อุดตันหรือไม่ โดยการฉีดสีผ่านทางปากมดลูกเข้าไปในมดลูกและท่อนำไข่ และสังเกตว่าสีสามารถไหลออกมาจากปลายท่อได้หรือไม่ การส่องกล้องสามารถยืนยันผลการตรวจ HSG ได้ แม้ว่าจะเป็นการผ่าตัด แต่การส่องกล้องเป็นการผ่าตัดแบบรุกล้ำน้อย ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกกังวลน้อยลง การทราบว่าการส่องกล้องช่วยให้แพทย์เห็นและยืนยันการวินิจฉัยได้อย่างชัดเจนเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
ในบางกรณี แพทย์อาจเลือกใช้การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI scan) เพื่อช่วยในการตรวจสอบท่อนำไข่และตรวจหาการอุดตัน
ภาวะท่อนำไข่บวมน้ำส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาวะเจริญพันธุ์ของผู้หญิง:
ท่อนำไข่ที่อุดตันจะขัดขวางไม่ให้ไข่และอสุจิมาพบกัน ทำให้การปฏิสนธิไม่สามารถเกิดขึ้นได้ และยังขัดขวางการเคลื่อนตัวของตัวอ่อนไปยังมดลูก ทำให้การตั้งครรภ์ตามธรรมชาติเป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้ แม้ว่าท่อนำไข่จะอุดตันเพียงข้างเดียว ของเหลวจากท่อที่ได้รับผลกระทบก็สามารถไหลเข้าไปในมดลูกและรบกวนการฝังตัวของตัวอ่อนได้
แม้ว่าการทำ IVF จะเป็นการข้ามขั้นตอนการทำงานของท่อนำไข่ โดยการปฏิสนธิไข่ภายนอกร่างกายและนำตัวอ่อนใส่กลับเข้าไปในมดลูกโดยตรง แต่ภาวะท่อนำไข่บวมน้ำก็ยังคงส่งผลเสียต่อความสำเร็จของการทำ IVF ได้ ของเหลวที่เป็นพิษในท่อนำไข่อาจเป็นอันตรายต่อตัวอ่อน หรือทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่พร้อมสำหรับการฝังตัว ด้วยเหตุนี้ แพทย์จึงมักแนะนำให้รักษาภาวะท่อนำไข่บวมน้ำ (โดยส่วนใหญ่คือการผ่าตัดนำท่อนำไข่ออก) ก่อนเริ่มการทำ IVF เพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ที่ประสบความสำเร็จ
หากท่อนำไข่อุดตันเพียงข้างเดียว อาจยังคงมีโอกาสตั้งครรภ์ตามธรรมชาติได้ หากท่ออีกข้างยังคงปกติและทำงานได้ดี อย่างไรก็ตาม ของเหลวจากท่อที่อุดตันก็ยังคงอาจเป็นปัญหาได้
การรักษาภาวะท่อนำไข่บวมน้ำมักแนะนำให้ทำการผ่าตัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากภาวะนี้ส่งผลกระทบต่อภาวะเจริญพันธุ์
เป็นการผ่าตัดเพื่อนำท่อนำไข่ที่ได้รับผลกระทบออกทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง การผ่าตัดนี้มักทำด้วยวิธีการส่องกล้อง ทำให้เกิดแผลเล็กๆ การผ่าตัดนำท่อนำไข่ออกถือเป็นวิธีที่แน่นอนที่สุดในการรักษาภาวะท่อนำไข่บวมน้ำและป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ การนำท่อนำไข่ออกสามารถเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ด้วยวิธีเด็กหลอดแก้ว (IVF) ได้ หากทำการผ่าตัดนำท่อนำไข่ออกทั้งสองข้าง จะต้องใช้วิธี IVF เท่านั้นจึงจะสามารถตั้งครรภ์ได้ การทราบว่าการผ่าตัดนี้สามารถเพิ่มโอกาสในการทำ IVF ให้สำเร็จเป็นข้อมูลที่สำคัญสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการมีบุตร
เป็นการผ่าตัดเพื่อแก้ไขการอุดตัน โดยแพทย์จะทำการเปิดแผลเล็กๆ ที่ปลายท่อนำไข่ที่บวมน้ำเพื่อระบายของเหลวออก อาจมีการตัดส่วนที่เสียหายของท่อออกและเปิดปลายที่ปิดสนิท อย่างไรก็ตาม อัตราความสำเร็จของการตั้งครรภ์ด้วยวิธีนี้โดยทั่วไปจะต่ำกว่าการทำ IVF และมีความเสี่ยงที่ของเหลวจะกลับมาสะสมอีก นอกจากนี้ ยังอาจเพิ่มความเสี่ยงของการแท้งบุตรและการเกิดภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์ ปัจจุบัน วิธีนี้จึงไม่เป็นที่นิยมเท่าการทำ IVF แม้ว่าการผ่าตัดเปิดท่อนำไข่มีเป้าหมายเพื่อรักษาท่อนำไข่ไว้ แต่การทราบถึงอัตราความสำเร็จที่ต่ำกว่าและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นเมื่อเทียบกับทางเลือกอื่นๆ เช่น การผ่าตัดนำท่อนำไข่ออกแล้วทำ IVF เป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจ
ในบางกรณี แพทย์อาจทำการหนีบหรือผูกปลายท่อนำไข่ที่ได้รับผลกระทบ เพื่อป้องกันไม่ให้ของเหลวไหลย้อนกลับเข้าไปในมดลูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนการทำ IVF วิธีนี้จะปล่อยให้ท่อนำไข่อยู่กับที่ แต่จะช่วยป้องกันผลกระทบด้านลบของของเหลวต่อความสำเร็จของการทำ IVF นี่เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่อาจรุกรานน้อยกว่าการผ่าตัดนำท่อนำไข่ออก สำหรับผู้ป่วยที่เข้ารับการทำ IVF และอาจไม่เหมาะสมหรือไม่ต้องการผ่าตัดนำท่อออกทั้งหมด
หากมีการติดเชื้อที่ยังคงดำเนินอยู่ แพทย์จะสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะเพื่อรักษา ในกรณีที่ไม่รุนแรงและมีอาการน้อย แพทย์อาจเลือกที่จะติดตามอาการของผู้ป่วย การดูดของเหลวออกจากท่อนำไข่ด้วยเข็ม (aspiration) มีอัตราการกลับมาเป็นซ้ำสูงและไม่จำเป็นต้องเพิ่มอัตราการตั้งครรภ์ ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาภาวะท่อนำไข่บวมน้ำด้วยวิธีธรรมชาติ การทราบถึงข้อจำกัดของการรักษาแบบไม่ผ่าตัด (ยกเว้นการจัดการกับการติดเชื้อที่ยังคงดำเนินอยู่) เป็นสิ่งสำคัญเพื่อไม่ให้ผู้ป่วยเกิดความเข้าใจผิด
ตารางที่ 1 เปรียบเทียบการรักษาท่อนำไข่บวมน้ำวิธีต่าง ๆ
หากไม่ได้รับการรักษา ภาวะท่อนำไข่บวมน้ำอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ดังนี้:
ภาวะท่อนำไข่บวมน้ำเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะมีบุตรยาก เนื่องจากท่อนำไข่ที่อุดตันจะขัดขวางการพบกันของไข่และอสุจิ รวมถึงการเคลื่อนตัวของตัวอ่อนไปยังมดลูก ทำให้การตั้งครรภ์ตามธรรมชาติเป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้
การอุดตันของท่อนำไข่อาจเพิ่มความเสี่ยงของการตั้งครรภ์นอกมดลูก ซึ่งเป็นการตั้งครรภ์ที่ตัวอ่อนฝังตัวในท่อนำไข่แทนที่จะเป็นในมดลูก การตั้งครรภ์นอกมดลูกไม่สามารถดำเนินต่อไปได้และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที การตระหนักถึงความรุนแรงของการตั้งครรภ์นอกมดลูกเป็นสิ่งสำคัญ และหากสงสัยว่ามีการตั้งครรภ์นอกมดลูก ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
ของเหลวที่สะสมอยู่ในท่อนำไข่ในภาวะท่อนำไข่บวมน้ำสามารถไหลย้อนกลับเข้าไปในมดลูกและสร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมต่อการฝังตัวและเจริญเติบโตของตัวอ่อน ทำให้โอกาสในการตั้งครรภ์ด้วยวิธี IVF ลดลง งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าอัตราการตั้งครรภ์จากการทำ IVF อาจลดลงอย่างมาก (อาจลดลงถึงครึ่งหนึ่ง) ในผู้หญิงที่มีภาวะท่อนำไข่บวมน้ำที่ไม่ได้รับการรักษา นอกจากนี้ ของเหลวอาจชะล้างตัวอ่อนที่ถูกย้ายเข้าไปในมดลูก หรือเป็นพิษต่อตัวอ่อนได้ สำหรับผู้ป่วยที่กำลังพิจารณาหรืออยู่ระหว่างการทำ IVF การเข้าใจว่าการรักษาภาวะท่อนำไข่บวมน้ำก่อนเริ่มการรักษา IVF สามารถเพิ่มโอกาสความสำเร็จได้อย่างไรเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
มีงานวิจัยบางชิ้นที่บ่งชี้ว่าภาวะท่อนำไข่บวมน้ำอาจเพิ่มความเสี่ยงของการแท้งบุตรได้
ภาวะท่อนำไข่บวมน้ำที่ไม่ได้รับการรักษาอาจนำไปสู่อาการปวดอุ้งเชิงกรานเรื้อรังในผู้หญิงบางรายได้
เช่นเดียวกับการผ่าตัดอื่นๆ การรักษาภาวะท่อนำไข่บวมน้ำด้วยการผ่าตัดก็มีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น การติดเชื้อ เลือดออก ปวด บาดเจ็บต่ออวัยวะอื่นๆ และการแพ้ยาสลบ
ภาวะท่อนำไข่บวมน้ำเป็นภาวะที่ท่อนำไข่อุดตันและมีของเหลวสะสมอยู่ ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการมีบุตร ทั้งโดยธรรมชาติและผ่านการรักษาด้วยวิธี IVF อย่างไรก็ตาม มีตัวเลือกการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นการผ่าตัดเพื่อนำท่อนำไข่ที่ได้รับผลกระทบออก เพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้ารับการรักษาด้วยวิธี IVF การทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ การวินิจฉัย และตัวเลือกการรักษาต่างๆ จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษาได้อย่างมีข้อมูลและปรึกษาแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือและการได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มผู้ป่วยอื่นๆ ก็เป็นส่วนสำคัญในการรับมือกับภาวะนี้